วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เตือนบ้านติดปั๊มเสี่ยงเป็นมะเร็ง




ใคร บ้านอยู่ใกล้ปั๊มต้องหาทางให้ปั๊มเขยิบไปเสียแล้ว เมื่อผลการศึกษาล่าสุดชี้ชัด หากบ้านอยู่ใกล้เกินไปมีสิทธิตายผ่อนส่งเพราะสารพิษก่อมะเร็งปนเปื้อนอยู่ใน อากาศก็เป็นได้
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมูร์เซียในสเปน ได้ศึกษาถึงผลกระทบต่อการปนเปื้อนจากปั๊มน้ำมันทั้งหลาย พบว่าอันตรายจากสารอินทรีย์ผสมที่กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศสามารถลอยไปได้ไกลถึง 100 เมตร รอบๆ สถานีเลยทีเดียว
ดัง นั้นแล้วหากต้องการสร้างสถานีบริการน้ำมันในชุมชนย่านที่อยู่อาศัยแล้วละก็ ต้องสร้างให้ห่างจากบ้านเรือนผู้คนอย่างน้อย 50 เมตร และอย่างน้อย 100 เมตร สำหรับสถานอำนวยความสะดวกสาธารณะ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียนและสถานพักฟื้นคนชรา
มาร์ทา โดวาล ผู้ร่วมศึกษาทดลองในครั้งนี้กล่าวว่า ค่าสารอินทรีย์ผสมอย่างเบนซีน ซึ่งเป็นตัวการก่อมะเร็งที่บันทึกได้จากปั๊ม มีมากกว่าค่ามาตรฐานที่วัดได้จากการจราจรแออัดในเมืองเสียอีก โดยสารปนเปื้อนดังกล่าวมาจากอากาศภายในสถานีบริการน้ำมัน และพื้นที่บริเวณโดยรอบได้รับผลกระทบจากการระเหยของน้ำมัน ซึ่งรวมไปถึงน้ำมันที่ยังไม่มีการเผาไหม้ในระหว่างการเติม การถ่ายโอนน้ำมันจากแท็งก์ และการกระฉอกของน้ำมันอย่าง ไรก็ตาม ระยะห่างระหว่างปั๊มและบ้านพักอาศัยยังขึ้นอยู่กับจำนวนสถานีบริการน้ำมัน ที่มีอยู่ในพื้นที่ ปริมาณน้ำมันที่เก็บกักไว้ ความหนาแน่นของการจราจร โครงสร้างพื้นฐานแวดล้อมและสภาพอากาศ

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 วันมาฆบูชา

วันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ได้เวียนมาบรรจบอีกครั้ง วันนี้กระปุกจึงมีเกร็ดความรู้เกี่ยวกับวันมาฆบูชามาฝากกันค่ะ

ความหมายของวันมาฆบูชา

คำว่า "มาฆะ" นั้น เป็นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคำว่า "มาฆบุรณมี" หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3

การกำหนดวันมาฆบูชา

การกำหนดวันมาฆบูชาตามปฏิทินจันทรคติของไทยนั้นจะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 และมักตรงกับเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม

ความสำคัญและประวัติของวันมาฆบูชา

ความสำคัญของวันมาฆบูชา คือเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" แก่พระสงฆ์เป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็นเวลา 9 เดือน ซึ่งหลักคำสอนนี้เป็นหลักการ และวิธีการปฏิบัติต่างๆ หากสรุปเป็นใจความสำคัญ จะมีเนื้อหาว่า "ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์"

5 สิ่งที่ควรทำในตอนเช้า

ถ้าคุณได้เริ่มต้นวันใหม่ ด้วยการทำสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ วันนั้นทั้งวันจะเป็นวันที่ดีสำหรับคุณ และจะส่งผลยาวต่อเนื่องให้คุณกลายเป็นคนที่มีสุขภาพดีตลอดปีได้

1. ดื่มน้ำสะอาด 1 แก้วใหญ่ เป็นวิธีที่ช่วยให้คุณตื่นอย่างเต็มตา ช่วยกระตุ้นเมตาบอลิซึ่ม และช่วยให้ร่างกายได้รับความสดชื่นเตรียมพร้อมสำหรับกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ

2. เคลื่อนไหวร่างกาย หลังจากรองท้องด้วยของว่างแบบเบา ๆ ควรเริ่มต้นออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจเต้นแรงและเลือดสูบฉีด มีผลการวิจัยบอกไว้ว่าการออกกำลังกายในตอนเช้าช่วยเบิร์นแคลอรีได้ดีกว่า

3. กินโปรตีนและไฟเบอร์ กาแฟกับมัฟฟินที่หลายคนชอบ ไม่ช่วยให้ได้รับพลังงานดี ๆ ที่ร่างกายและสมองต้องการ แต่การรับประทานโปรตีนและไฟเบอร์ในตอนเช้าจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ทั้งยังช่วยให้อิ่มไปจนถึงมื้อเที่ยง

4. เตรียมอาหารที่มีคุณภาพ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงอาหารยั่วใจที่ไร้คุณภาพ การเตรียมผักสลัด หรือผลไม้ใส่กล่อง ข้าวกล้องสำหรับมื้อเที่ยง จะช่วยให้คุณได้รับอาหารที่มีประโยชน์อย่างเพียงพอ และสะอาด

5. ทาครีมกันแดด รังสียูวีสามารถทะลุทะลวงผ่านหน้าต่างเข้ามา ผ่านเสื้อผ้าเข้าสู่ผิวของคุณได้โดยตรง ฉะนั้นการป้องกันผิวจากแสงแดดจึงเป็นเรื่องจำเป็น หลังอาบน้ำ ทาม้อยส์เจอร์ไรเซอร์แล้ว ควรต่อด้วยครีมกันแดด ถ้าไม่อยากเสี่ยงกับโรคมะเร็งผิวหนัง และรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย


เริ่มทำตั้งแต่ต้นปีนี้เลยนะคะ...

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

9 เรื่องแปลกๆในไทยที่ชาวต่างชาติไม่เข้าใจ ??

9 เรื่องแปลกๆในไทยที่ชาวต่างชาติไม่เข้าใจ ??

เป็นบทความที่กระผมไป ก๊อปเขามาอีกที อ่านแล้วเห็นว่ามันก็จริงหนิ เลยเอามาให้อ่าน

1. ประเทศไทย...ทำไมมีสรรพนามเรียกแทน ตัวเองและฝ่ายตรงข้ามมากมายหลายคำ ?
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็จะมีแค่ I กับ You ถ้าเป็นภาษาจีน ก็มี หว่อ กับ หนี่ แต่ภาษาไทยนี่มีเยอะมากกกก ตั้งแต่ ฉัน-เธอ , เรา-แก , ข้า-เอ็ง , ผม-คุณ , เดี๊ยน-หล่อน และอีกสารพัด เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ต่างๆ ถ้าคุยกับพ่อแม่อาจจะเรียกตัวเองว่า หนู ถ้าคุยกับน้องสาวอาจจะเรียกตัวเองว่าฉัน แต่พอไปคุยกับเพื่อน อาจเรียกตัวเองว่าเรา เอ๊ะ นั่นน่ะสิ ทำไมคนไทยถึงมีสรรพนามเรียก แทนตัวเองและคนอื่นเยอะขนาดนี้นะ ? น่าสงสัยเหมือนกันนะ !

2. ประเทศไทย .... ทำไมเมืองหลวงชื่อยาวมาก ?
ชาวต่างชาติมักรู้จักกรุงเทพฯ ในนาม Bangkok แต่ถ้าใครได้รู้ชื่อ เมืองหลวงเต็มๆ ของกรุงเทพฯ รับรองว่าอึ้งทุกราย ก็ชื่อเมืองหลวง เต็มๆ ของกรุงเทพฯ เค้ามีชื่อว่า "กรุงเทพมหานคร อมรรัตน โกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติ
ยวิษณุกรรมประสิทธิ์" ท่องกันได้รึเปล่าล่ะ ?

3. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยนามสกุลยาวจัง ?
ในขณะที่ชาวต่างชาติเค้านามสกุลสั้นๆ แค่ 2-3 พยางค์ บางชาติก็แค่พยางค์เดียว แต่คนไทยส่วนมากนามสกุลย๊าวยาว บางคนยาวกว่า 8-9 พยางค์ บางคนยาวเป็น 10 พยางค์ก็มี เวลากรอกเอกสารสำคัญๆ เรียกว่าเขียนเกินหน้ากระดาษกันเลยทีเดียว

4. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยชอบ พิมพ์ 5555 ?
ก็เพราะว่าเลข 5 ในภาษาไทยออกเสียงว่า 'ห้า' หรือ พ้องไปเป็น 'ฮ่า' ดังนั้นเวลาพิมพ์หรือแชทกัน แล้วรู้สึก ตลกหรือขำ ก็จะพิมพ์แทน 'ฮ่าฮ่าฮ่า' ว่า '555' บาง คนเผลอเอาไปพิมพ์แชทกับเพื่อนต่างชาติ รับรองว่า ฝรั่งงงทุกรายแน่ๆ 555 ไปๆ มาๆ เพื่อนต่างชาติของ เราดันติดเอาไปใช้คุยกับคนอื่นต่ออีกแน่ะ 555 อ้อ แต่บางทีคนไทยด้วยกันเองก็มีงงบ้าง เช่น

ค่ารถ เท่าไรอะ
55
จะขำทำไม
เปล่าเฟ้ย หมายถึงค่ารถ 55 บาท


5. ประเทศไทย .... ทำไมอะไรๆ ก็ตีเป็นเลขได้ ?
อู้ยยย อย่าว่าแต่ฝรั่งเลยที่แปลกใจ คนไทยด้วยกันเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมทุกอย่างถึงสามารถตีเป็นเลขได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้(ต้นไม้ร้องไห้ มีน้ำไหลออกมาตลอดเวลา) สัตว์(ควายแรกเกิดมี 2 หัว) ของกิน(แตงโมเผือก) และอะไรอีกสารพัดก็สามารถเอามาตีเป็นเลขได้ คนไทยนี่สุดยอดจริงๆ เลยนะเนี่ย อิอิ

6. ประเทศไทย .... ทำไมชื่อเล่นคนไทยถึงแปลกจัง ?
ก็ชื่อเล่นคนไทยมีทั้งชื่อสัตว์(แมว กวาง นก กระต่าย) ผลไม้(ส้ม เปิ้ล มะปราง ชมพู่) ผัก(คะน้า แตงกวาต้นหอม ขิง) ขนม(วุ้น ปุยฝ้าย เค้ก ลูกกวาด) เครื่องประดับ (แก้ว แหวน สร้อย) เลข(หนึ่ง สอง สาม สี่) และอะไรอีกสารพัด เล่นเอาคนต่างชาติอึ้งว่าทำไมถึงตั้งชื่อกันอย่างนี้

มีเพื่อนคนนึงชื่อแตงกวา คุณเธอไปเรียนต่อที่เกาหลีเลยจัดแจงเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น 'โออี' (ภาษาเกาหลีแปลว่าแตงกวา) ตอนออกไปแนะนำตัวหน้าชั้น ทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อนขำกันยกใหญ่ว่าคนอะไรชื่อแตงกวา หารู้ไม่ว่าที่เมืองไทยชื่อแตงกวาออกจะน่ารัก ก็แหม มีใครเคยเจอชาวต่างชาติชื่อ cucumber rabbit necklace อะไรอย่างนี้มั้ยล่ะ? ไม่มี๊ไม่มี มีแต่คนไทยเท่านั้นแหละที่สามารถเอาสิ่งรอบตัวมาตั้งเป็นชื่อเล่นได้ ! สุดยอดปะล่ะ !

7. ประเทศไทย .... ทำไม....ไหว้อะไรกันที่หน้า บ้าน ?
นั่นก็หมายถึงศาลพระภูมิเองล่ะค่ะ ฝรั่งบางคน(หรือแทบทุกคน) ได้เห็นแล้วต้องเป็นงงว่า 'นี่คืออะไร บ้านนกเหรอ?' แล้วทำไม ต้องจุดธูปกับเอาของกินมาถวายบ้านนกด้วยล่ะ ? ดังนั้นก็ต้อง อธิบายกันซะยืดยาวว่าจริงๆ แล้วนั่นคือศาลพระภูมิที่เชื่อกันว่าเป็นที่ สิงสถิตย์ของเจ้าที่ที่คอยคุ้มครอง

แต่แหม พี่ฝรั่งบางคนนึกครึ้มอกครึ้มใจอะไรไม่ทราบ ดันซื้อกลับ ประเทศไปซะหลายหลัง - -"อย่างนักบอลชื่อดังเดวิด เบคแฮม ก็เป็น อีกรายที่ซื้อศาลพระภูมิกลับประเทศไปตรึม

8. ประเทศไทย .... ทำไมต้องยืนตรงก่อนหนังฉายในโรงหนัง ?
รับรองเถอะค่ะ ร้อยทั้งร้อยของชาวต่างชาติที่มีโอกาสได้เข้าไปในโรงหนังของบ้านเรา ต้องสงสัยทุกรายว่าทำไมต้องยืนตรงก่อนหนังฉาย ยังไงก็อย่าลืมอธิบายให้เค้าฟังด้วยนะคะว่า 'ต้องยืนตรงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี' (ไม่ว่าจะอยู่ในโรงหนังหรือไม่ก็ตาม) เพื่อเป็นการแสดงความเคารพถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของปวงชนชาวไทยนั่น เองค่ะ ..... เชื่อมั้ยคะว่า ชาวต่างชาติบางคนรู้สึกขนลุกและประทับใจต่อเพลงสรรเสริญฯ มาก บางคนมาเมืองไทยทีไร ต้องหาเวลาเข้าโรงหนัง ไม่ได้เข้าไปดูหนังหรอกนะคะ แต่เข้าไปยืนตรงแล้วฟังเพลง


9. ประเทศไทย .... ทำไมคนไทยต้องติดรูปนี้ไว้บนฝาบ้าน ?
นั่นก็คือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นรูปที่คนไทยต้องมีกันทุกบ้านไม่ว่าจะอยู่ที่มุมไหนของประเทศไทย คนไทยบางคน(โดยเฉพาะในเมืองนอก)ถึงกับพกพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ ติดกระเป๋าสตางค์ พอฝรั่งเห็นเข้าก็แปลกใจว่า เอ๊ะ พกรูปใครมาน่ะ Do you know him personally (รู้จักเค้าเป็นการส่วนตัวเหรอ) ? เราไม่ได้รู้จักท่านเป็นการส่วนตัว แต่ท่านคือพ่อของคนไทยทุกคนที่พวกเราทั้งรักและจงรักภักดีต่างหาก....
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chommanee&group=3

เตือนตัวเอง

1 จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน

2 จงพูดกับคนที่ถึงแม้นอายุน้อยกว่าเราแต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากับมนุษย์ทุกคน
3 จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มี และนอนเท่าที่อยากจะนอน

4 เมื่อกล่าวคำว่า *ฉันรักเธอ *จงหมายความตามนั้นจริงๆ

5 เมื่อกล่าวคำว่าขอโทษจงสบตาเขาด้วย

6 ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงมั่นเสียก่อนอย่างน้อย6เดือน

7 จงเชื่อในรักแรกพบ

8 อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไรเลย

9 เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้งและร้อนแรง อาจจะต้องเจ็บปวด แต่นั่นคือหนทางเดียว ที่ทำให้ชิวิตถูกเติมเต็ม

10 ในเหตุการณ์ขัดแย้งจงโต้อย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน

11 อย่าตัดสินคนเพียงเพราะญาติๆของเขา

12 จงพูดให้ช้า แต่ต้องคิดให้เร็ว

13 ถ้าถูกถามคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า จะอยากรู้ไปทำไม

14 จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่คือ ความรัก ความสำเร็จ ล้วนต้องมีการเสี่ยง

15 จงพูดว่า *ขอพระครุ้มครอง* เมื่อมีใครจาม

16 เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย

17 นับถือผู้อื่น นับถือตนเอง รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ

18 จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆมาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา

19 ทันทีที่รู้ว่าตัวเองทำผิดจงลงมือแก้ไขทันที

20 จงยิ้มเวลารับโทรศัพท์ คนฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา

21 จงหาโอกาศอยู่กับตัวเองบ้าง

22 สัจธรรมของโลกคือ คนเราไม่มีวันจะประสบความสำเร็จไปหมดซะทุกเรื่องและทุกด้าน

23 เราไม่สนว่าแมวจะมีขนสีอะไร ขอให้จับหนูได้ก็พอ

เก็บมาจากหลายๆที่จ๊ะ(จำไม่ได้ว่าจากที่ไหนบ้าง) ชอบอ่านมากๆเลยจ้า

ความรักคือการแบ่งปัน ไม่ใช่ความอดทน

ความรักคือการแบ่งปัน ไม่ใช่ความอดทน

หลายคนชอบว่าฉันเล่นเกมกับความรัก
ไปๆ มาๆ ช่วงนี้ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจอะไรมากขึ้นจากชีวิตของคนอื่น แล้วพลอยเข้าข้างตัวเองว่าไม่ได้เล่นเกมสักหน่อย

จริง สินะ ความรักไม่ใช่ความอดทนนะ มันไม่ใช่เกมที่จะมาคอยบอกว่า ฉันรักเธอที่สุดเพราะฉันอดทนเธอได้มากที่สุด แล้วสักวันหนึ่งเธอจะได้รู้ว่าไม่มีใครอดทนเธอได้เท่าฉัน
ความรักไม่ใช่ เกมนะ ที่ใครอดทนได้มากกว่า และทำให้อีกฝ่ายโหดร้ายมากขึ้นเท่าไรจึงจะชนะ ถ้าทรีตความรักเป็นเกม จุดสิ้นสุดของเกมก็คือ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะชนะ แล้วก็อยู่ด้วยกันแบบขมๆ หรือแยกย้ายกันไป

สิ่งที่ฉันเห็นตัวอย่าง จากคนอื่นทำให้ฉันรู้ว่า ความรักไม่ใช่เกมของความอดทน มันจะมีความหมายอะไรถ้ารักกันแล้วแบ่งปันตัวตนของเรากับอีกคนไม่ได้ มันจบตั้งแต่คิดว่าความรักคือความอดทนแล้วล่ะ

มันจะดีกว่าไหมถ้ายอมสลายกรอบของตัวเองเพื่อแบ่งปันกับคนอื่น ไม่ใช่อยู่ในกรงขังตัวเองซึ่งปิดป้ายข้างหน้ากรงว่า "อดทน"

ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจความรักหรอก แต่ถ้าเป็นไม่ได้ ไม่อยากให้มีใครต้องอดทนเลย

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

5 วิธีจัดการสิวแบบเร่งด่วน

5 วิธีจัดการสิวแบบเร่งด่วน


สิวเม็ดสองเม็ดที่ผุดขึ้นยามฉุกเฉิน กรณีที่คุณจำเป็นต้องใช้ใบหน้า เช่น งานแต่งงาน หรือนัดสัมภาษณ์งาน ลองใช้ 5 วิธีกำจัดสิวแบบเร่งด่วนรับรองว่าพรุ่งนี้เมื่อคุณตื่นเข้ามา สิวนั้นจะหลุดหายไป หรือลดขนาดลงจนคุณไม่ทันสังเกต


Tip 1 :สิวตุ่มแดง ให้ใช้โลชั่นคาลาไมน์ทาก่อนนอน โดยไม่ต้องล้างออก


Tip 2 :ทาน้ำผึ้งบริเวณเม็ดสิว ประมาณ 1 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดเพื่อขจัดแบคทีเรีย


Tip 3 :ใช้น้ำกระเทียมทาบริเวณที่เป็นส่วนโดยไม่ต้องล้างน้ำออก


Tip 4 :ผสมน้ำมันทีทรีกับยีสต์ทาก่อนนอน ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างออกในตอนเช้า


Tip 5 :ใช้ยาสีฟันทาบริเวณสิว ทิ้งไว้ข้ามคืนแล้วล้างยาสีฟันออกในตอนเช้า

4 เคล็ดลับเด็ดลดไขมัน

คุณรู้จักเคล็ดลับการเผาผลาญไขมันมาแทบทุกอย่างแล้ว แต่นี่คือบางอย่างที่คุณสามารถเพิ่มเข้าไปได้เพื่อจัดการโจมตีไขมันในแบบที่ต่างออกไป


   1. เล่นโยคะตอนเช้า เพียงแค่ 15 นาที การเล่นโยคะในตอนเช้าจะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น การย่อยดีขึ้น ทั้งหมดนำไปสู่การเผาผลาญไขมันและแคลอรีที่มากขึ้น และสุขภาพจิตจะดีไปตลอดทั้งวันด้วย


   2. ท้าทายตัวเองสัปดาห์ละอย่าง การออกกำลัง เพื่อให้ตัวเองแข็งแรงและดูดี ไม่ได้ผลดีเท่ากับการออกกำลังอย่างมีเป้าหมาย เพราะการตั้งเป้าหมายจะทำให้คุณฝึกตัวเองเต็มที่ขึ้น ลองตั้งเป้าหมายในแต่ละสัปดาห์ เช่น การวิ่งขึ้นลงบันไดอย่างรวดเร็ว 10 รอบ แข่งเทนนิสหรืออกกำลังกายที่คุณไม่เคยลองมาก่อน เช่น เต้นระบำหน้าท้อง หรือชกมวย


   3. ยกน้ำหนักพร้อมคาร์ดิโอ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอสลับวันกับการยกน้ำหนักเป็นเรื่องดี แต่การออกกำลังแบบคาร์ดิโอสัก 20-30 นาที ด้วยความหนักที่หลากหลายกันหลังการยกน้ำหนัก จะช่วยเผาผลาญไขมันในระหว่างนั้นและหลังจากนั้นอีกหลายชั่วโมง ลองวอร์มอัพด้วยการออกกำลังแบบคาร์ดิโอสัก 7 นาที ตามด้วยการยกน้ำหนัก 40 นาที และออกกำลังแบบอินเทอร์วัลอีก20 นาที มันจะช่วยคุณเผาผลาญไขมันได้สูงสุดในเวลาน้อยที่สุด
   4. สั้นและหนักหน่วง หมดสมัยของการออกกำลังหรือยกน้ำหนักนานๆ แล้ว ทุกวันนี้เป็นเรื่องการออกกำลังแบบสั้นๆ แต่มีประสิทธิภาพ การศึกษาที่ตีพิมพ์ใน Journal of Sports Medicine and Physical Fitness ชี้ว่า การยกน้ำหนักแบบหนักๆ ในช่วงสั้นๆ ทำให้กล้ามเนื้อพัฒนาดีขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการยกน้ำหนักตามปกติ และทำให้มีกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันมากกว่า


ขอบคุณข้อมูลจาก : FW